โทมัส ทูเคิล หนึ่งในกุนซือระดับหัวแถวของวงการโลกลูกหนังในตอนนี้ และถ้าจะให้พูดถึงชีวิตสุดของเฮดโค้ชที่มีความพิสดารในระดับหนึ่ง ก็คงต้องมีชื่อของเขาคนนี้รวมอยู่ด้วยแน่นอน
เพราะในฤดูกาลแรก ที่เขารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมของ เชลซี ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ทันที และยังเป็นการหักอกทีมใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เจอกันในรอบชิงชนะเลิศด้วย เพราะในตอนนั้น ทีม “เรือใบสีฟ้า” ยังไม่สามารถคว้าแชมป์ถ้วยหูใหญ่มาครอบครองได้
ครั้นพอ ทูเคิล ทำผลงานได้ตกต่ำลงกว่าเดิม จนโดนเจ้าของทีมคนใหม่อย่าง ท็อดด์ โบห์ลีย์ ปลดพ้นจากเก้าอี้กุนซือของ “สิงโตน้ำเงินคราม” เขาก็กลับไปรับตำแหน่งกุนซือคนใหม่ ของยักษ์ใหญ่แห่งบุนเดสลีกาอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ซะอย่างนั้น
ประวัติของ โทมัส ทูเคิล และสมัยที่เขายังเป็นนักเตะ
ประวัติส่วนตัวของ Thomas Tuchel เขาเกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1973 ปัจจุบันมีอายุ 50 ปี เกิดที่เมือง Krumbach ประเทศเยอรมัน เป็นเจ้าของความสูง 190 เซนติเมตร และเคยค้าแข้งเป็นนักเตะมาก่อนด้วย
ในสมัยที่เขาเป็นนักเตะ เขาเล่นในตำแหน่งปราการหลังเป็นหลัก โดยตำแหน่งถนัดคือเป็นสวีปเปอร์ คอยช่วยเก็บกวาดบอล ในจังหวะสุดท้าย ก่อนที่คู่แข่งจะวิ่งไปถึงผู้รักษาประตู แต่ก็สามารถปรับบทบาทของการเล่นได้ โดยเล่นเป็นกองหลังตัวชนได้เช่นกัน
เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอล กับสโมสรท้องถิ่นอย่าง TSV Krumbach ซึ่งมี Rudolf พ่อของเขาเป็นโค้ชนั่นเอง หลังจากนั้น จึงย้ายไปอยู่ในอะคาเดมีของ เอาก์สบวร์ก ในปี 1988 แต่เขากลับไม่เคยขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่เลย จนถูกปล่อยตัวออกจากทีม เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 19 ปี
ทูเคิล ย้ายไปอยู่กับ สตุ๊ตการ์ท คิกเกอร์ส ในลีกาสอง เมื่อปี 1992 และมีโอกาสลงเล่นเพียง 8 นัด ทำประตูได้ 1 ประตู ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ เอสเอสวี อูล์ม 1846 เมื่อกลางปี 1994 มีโอกาสลงเล่น 69 นัด ทำไปได้ 2 ประตู
แต่ดูเหมือนโชคชะตาของเขาในตอนนั้น จะไม่ได้ใจดีกับเขาสักเท่าไหร่ เพราะ โทมัส ทูเคิล ต้องตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี 1998 ซึ่งในตอนนั้น เขามีอายุเพียงแค่ 25 ปีเท่านั้น สาเหตุมาจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่หัวเข่า ทำให้ประวัติของ ทูเคิล ในสมัยที่เขายังเป็นนักเตะ ไม่ได้อยู่ในระดับของการประสบความสำเร็จ
สู่เส้นทางของการเป็นโค้ช
เส้นทางการเป็นโค้ชของ ทูเคิล ได้เริ่มต้นขึ้น หลังจากที่เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดไปได้ 2 ปี
ปี 2000, ราล์ฟ รังนิก ตีดสินใจดึงตัว ทูเคิล ไปเป็นโค้ชทีมเยาวชนของ สตุ๊ตการ์ท และมีส่วนปลุกปั้นนักเตะอย่าง มาริโอ โกเมซ และ โฮลเกอร์ บาตชตูเบอร์ ให้เป็นดาวดังในเวลาต่อมา และยังเป็นโค้ชทีมยู-19 ที่ช่วยให้ “ม้าขาว” คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ในฤดูกาล 2004-05
แต่หลังจากหมดสัญญากับ สตุ๊ตการ์ท, เขาก็ย้ายกลับอยู่กับ เอาก์สบวร์ก II สมัยที่เขาเคยค้าแข้งอยู่ด้วย แต่ในตอนแรก เขาทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในทีมเยาวชน และทำมานานเป็นเวลาถึง 3 ปี ก่อนที่จะขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม ในฤดูกาล 2007-08
ช่วงกลางปี 2008 เขาย้ายมาเป็นกุนซือของ ไมนซ์ 05 ชุด U-19 ก่อนจะขึ้นไปคุมทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลต่อมา เขาสามารถสร้างผลงานได้โดดเด่น จนเป็นที่น่าจับตาอย่างมากในเยอรมัน โดยที่เขาได้นำเอาระบบการเล่นที่ทันสมัย และการนำเอาความรู้ด้านโภชนาการ เข้ามาดูแลนักเตะด้วย และในฤดูกาลแรก ไมนซ์ 05 ก็จบผลงาน ด้วยการได้อันดับ 9 ในตารางคะแนน
เขาคุม ไมนซ์ 05 ช่วงะหว่างปี 2009-2014 ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายไปคุม โบรุสเซีย ดอร์มทุนด์ เมื่อกลางปี 2015 โดยเข้าไปทำหน้าที่แทน เยอร์เก้น คล็อปป์ และช่วยให้ “เสือเหลือง” คว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล ประจำฤดูกาล 2016-17 มาครอบครองได้
จนถึงช่วงกลางปี 2018, เขาย้ายไปเป็นผู้จัดการทีม ปารีส แซง แชร์กแมง และเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญในการคว้าตัว คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ มาร่วมทีมจากสโมสรโมนาโก และช่วยให้ PSG คว้าแชมป์ลีกเอิง 2 ฤดูกาลซ้อน โดยมีผลงานคุมทีมทั้งหมด 127 นัด
26 ม.ค. 2021 เขารับหน้าที่ผู้จัดการทีมในเกาะอังกฤษ โดยมานั่งแท่นผู้จัดการทีมของสโมสรเชลซี และความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา คือการพา เชลซี เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่ 2021-22 นัดชิงชนะเลิศ คว้าถ้วยหูใหญ่ไปครอง
จนเมื่อเดือน กันยายน ปี 2022, เชลซี ที่ได้เจ้าของใหม่เป็น ท็อดด์ โบห์ลีย์ มีแผนล้างระบบการทำทีมเก่า ๆ บวกกับผลงานของ ทูเคิล ที่ตกต่ำลง จึงสั่งปลด ทูเคิล จากตำแหน่ง ก่อนจะไปดึงตัว แกร์หม พอตเตอร์ เข้ามาคุมทีม
แต่ในวันที่ 24 มีนาคม ปี 2023, เขากลับได้เป็นผู้จัดการทีมของ บาเยิร์น มิวนิค และช่วยพาทีม “เสือใต้” คว้าแชมป์บุนเดสลีกา ฤดูกาล 2022-23 ก่อนที่เขาจะพลาดการพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาในฤดูกาลที่ 2023-24 และประกาศอำลาทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลดังกล่าว